วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Verb Domino สื่อการสอน ^^



Verb Domino

                     
                  ทำไมถึงต้องทำสื่อเป็นเกมส์โดมิโน?

                                เนื่องจากทางกลุ่มผู้เขียนเห็นว่าสื่อที่ใช้ในการสอนนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เพียงแค่เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวที่จะสามารถดึงความสนใจของนักเรียนในการเรียนรู้ สื่อทำมือก็สามารถทำให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ได้ จึงคิดทำเกมส์โดมิโนขึ้นมาค่ะ ซึ่งเป็นเกมส์ที่เล่นง่าย พกพาสะดวก สามารถเล่นคนเดียวหรือกับเพื่อนๆก็ได้ และสามารถเป็นสื่อเสริมความรู้ให้กับนักเรียนได้

                 ใช้สอนเรื่องอะไร?

                                 ชื่อสื่อก็สามารถบอกได้แล้วนะคะว่า สื่อนี้ใช้สอนเรื่องของคำกริยา โดยเราจะมีคำกริยาที่อยู่ในสื่อ จำนวน 30 คำ พร้อมรูปภาพการ์ตูนประกอบคำกริยาอีก 3 ชุดด้วยกันค่ะ ^^


                 มีวิธีการทำอย่างไร?

1. หาคำศัพท์เกี่ยวกับคำกริยาจำนวน 30 คำ พร้อมรูปภาพประกอบอย่างละ 3 ชุด
2. ทำโครงร่างโดมิโนใน word 
3. นำคำศัพท์และรูปภาพดังกล่าวไปใส่ในโครงร่างที่ทำไว้โดยนำไปใส่ไว้คละกัน
4. ปริ้นท์งานดังกล่าวลงบนกระดาษปกสีขาว



5. ตัดกระดาษตามรูปแบบโครงร่างที่ทำไว้
6. วัดแผ่นพลาสติกขนาด 4x8 ซม. และตัดเพื่อใช้ติดกับกระดาษปกสีขาวที่ตัดไว้แล้ว 





7. ติดกาวสองหน้าไว้ที่แผ่นพลาสติกที่ตัดแล้วและนำมาติดกับกระดาษ เป็นอันเสร็จสมบูรณ์



               วิธีการทำไม่ยุ่งยากเลยใช่ไหมคะ แถมค่าใช้จ่ายก็ไม่แพงด้วย และยังใช้เล่นเพื่อความเพลิดเพลินแฝงการเรียนรู้ไปอย่างไม่เครียด สบายๆ ค่ะ^^

ความรู้สึกหลังทำสื่อการสอนชิ้นนี้ !

                หลังจากทำสื่อชิ้นนี้เสร็จ รู้สึกภูมิใจกับผลงานที่ทำมาก ถึงแม้สื่อจะดูไม่ใหญ่ ไม่อลังการ เหมือนสื่อของกลุ่มอื่นๆ แต่รู้สึกภูมิใจที่เห็นคนอื่นสนใจ และหลายคนได้หยิบสื่อชิ้นนี้มาเล่นต่อกันอย่างสนุกสนาน ทำให้ได้รู้ว่าสื่อนี้สามารถใช้ได้กับทุกเพศ ทุกวัย จริงๆ และเราสามารถนำวิธีการทำสื่อนี้ไปต่อยอดได้อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น อาจจะให้นักเรียนช่วยกันทำโดมิโนจากศัพท์ที่ได้เรียนมา ตามคำแนะนำของอาจารย์ต้น จึงรู้สึกว่าสื่อนี้คงให้ประโยชน์แก่คนอื่นไม่มากก็น้อยค่ะ ^^



ขอบคุณค่ะที่ติดตามอ่าน ^__________^





                 

                   

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

โรงเรียนกับเทคโนโลยี!!

โรงเรียนที่สนับสนุนเทคโนโลยี & โรงเรียนที่ไม่สนับสนุนเทคโนโลยี

   
          ได้ไปเยี่ยมชม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา



             ซึ่งไปดูในเรื่องของเทคโนโลยีที่ใช้ในการเรียนการสอนของโรงเรียนนี้ และได้ไปสัมภาษณ์ ครูต้นแบบ ชื่อ ครูตุ้ม ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของผู้เขียนเอง
โดยถามว่า


โรงเรียนนี้มีอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีอะไรบ้างคะ?
    ครูตุ้มได้ตอบว่า มีโปรเจคเตอร์ แต่ไม่ได้มีทุกห้อง มีคอมพิวเตอร์ 3 ห้อง ประมาณ 150 เครื่อง และก็มีพวกสื่อ อื่นๆ  เช่น วิทยุ วีดีโอ เป็นต้น แต่พี่คิดว่าโรงเรียนต่างจังหวัด อย่างเช่น โรงเรียนประจำจังหวัดต่างๆ ยังดีกว่าโรงเรียนในกรุงเทพฯบางแห่งอีก


           


  พบว่า โรงเรียนนี้ยังขาดแคลนเทคโนโลยีอยู่มาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนไม่เคยคิดมาก่อนว่าโรงเรียนที่อยู่ในใจกลางกรุงเทพนี้จะขาดแคลนในเรื่องของเทคโนโลยี ในขณะที่โรงเรียนในต่างจังหวัดบางแห่งยังมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากกว่านี้

           


   ได้ใช้สื่ออะไรบ้างในการสอนภาษาอังกฤษคะ?
             ครูตุ้มได้ตอบว่า ส่วนใหญ่ใช้ พาวเวอร์พอยต์ เพราะโรงเรียนก็ไม่ได้มีโปรแกรมที่พิเศษ จึงใช้โปรแกรมง่ายๆ และอาจารย์ส่วนใหญ่ทำไม่เป็นและไม่มีเวลาด้วยครับ และบางเรื่องก็จะใช้คลิปวีดีโอประกอบการสอน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเราจะออกแบบกิจกรรมอย่างไรให้มันสนุก ไม่น่าเบื่อ ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคของอาจารย์แต่ละคนด้วยครับ



              และวันนี้เราก็จะมาคุยกันในเรื่องโรงเรียนที่สนับสนุนเทคโนโลยีกับโรงเรียนที่ไม่สนับสนุนเทคโนโลยีมีความแตกต่างหรือข้อดีข้อเสียกันอย่างไรบ้าง

             ตามความคิดเห็นของดิฉัน คิดว่าโรงเรียนที่สนับสนุนเทคโนโลยีมีข้อดีข้อเสียดังนี้
ข้อดี
  • ถ้ามีเทคโนโลยีที่ทันสมัย จะเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับนักเรียน ซึ่งช่วยกระตุ้นทำให้นักเรียนมีความสนใจและกระตือรือร้นในการเรียนเพิ่มมากขึ้น
  • เทคโนโลยีที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนได้มีแหล่งในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้นนอกเหนือจากการเรียนรู้ในห้องเรียน
  • เทคโนโลยีทำให้มีการเรียนการสอนที่ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
  • การใช้เทคโนโลยีทำให้โรงเรียนมีความน่าสนใจ มีระบบที่ทันสมัยและเหมาสมกับนักเรียนในสมัยนี้
ข้อเสีย
  • นักเรียนอาจให้ความสนใจในเทคโนโลยีจนเกินไป อาจทำให้ละเลยหรือไม่สนใจในเรื่องของการเรียนได้ 
  • นักเรียนอาจใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด อย่างเช่น คัดลอกข้อมูลจาก Internet โดยไม่มีการอ้างอิงข้อมูล

          ในส่วนของโรงเรียนที่ไม่สนับสนุนเทคโนโลยี อาจมีข้อดีหรือข้อเสียดังนี้

ข้อดี
  • นักเรียนไม่มีสิ่งที่ดึงความสนใจไปจากการเรียน อาจทำให้มุ่งมั่นต่อการเรียนมากขึ้น
  • โรงเรียนไม่สิ้นเปลืองเงินในการลงทุนเกี่ยวกับเรื่องของเทคโนโลยี และสามารถนำเงินในส่วนนี้ไปพัฒนาในด้านอื่นที่มีความสำคัญได้
ข้อเสีย

  • การเรียนการสอนอาจไม่ง่าย และไม่สะดวก รวมถึงไม่มีความแปลกใหม่หรือสิ่งที่กระตุ้นให้นักเรียนสนใจได้
  • เป็นการจำกัดการเรียนรู้ของนักเรียนภายในชั้นเรียน นักเรียนอาจไม่ได้รับข้อมูลที่ทันสมัยและรวดเร็วพอถ้าไม่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย 
       จากข้างต้น จะเห็นว่าเราได้พูดถึงข้อดีและข้อเสียของทั้งสองกรณีแบบคร่าวๆแล้ว ซึ่งอาจมีบางประเด็นที่ผู้เขียนละเลยหรือตกหล่นไป มาช่วยกันแสดงความคิดเห็นเพิ่มได้นะคะ ^___^


วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การกระทำความผิดในสังคมดิจิทัล

การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์





     หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าประเทศของเพิ่งจะมีกฏหมายมารองรับเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ คือ

              พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
ณ วันที่ 10 มิ.ย. พ.ศ.2550
มีผลบังคับใช้ในตั้งแต่ พุธที่ 18 ก.ค. พ.ศ.2550

     ในขณะเดียวกันอาจมีบางคนหรือหลายๆคนพอทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้กันบ้างแล้ว แต่ในปัจจุบันถึงจะมีกฏหมายมารับรองในเรื่องดังกล่าว ก็ยังพบเห็นคนเรากระทำความผิดและไม่ใส่ตามปกติ  
     โดยประเด็นที่จะพูดต่อไปนี้คือ เรามาดูกันว่า พรบ. มาตราที่เท่าไหร่บ้างที่ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจและยังเห็นเป็นเรื่องปกติอีกด้วย ซึ่งผู้เขียนคิดว่ามีดังนี้

มาตรา ๙ ผู้ใดทําให้เสียหาย  ทําลาย  แก้ไข  เปลี่ยนแปลง  หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือ
บางส่วน  ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ  ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี  หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท  หรือทั้งจําทั้งปรับ

   จากมาตราการที่ ๙ นี้ โดยความคิดของผู้เขียนคิดว่าพบเจอบ่อยสำหรับในแวดวงเพื่อนๆด้วยกันเองที่แอบเข้ารหัสของอีกฝ่าย ยกตัวอย่างใน facebook เพื่อนจะแอบเข้ามาตั้งสถานะแกล้งกันบ้าง หรือ เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ซึ่งคนทั่วไปอาจจะเห็นว่าเป็นเพียงการแกล้งกันเล่นธรรมดาๆ แต่ปรากฏว่าการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นความผิดนะคะ ซึ่งทางที่ดีควรจะ log out ทุกครั้งหลังเลิกใช้งานนะคะ เพื่อผู้อื่นจะได้ไม่สามารถมาเข้าถึงข้อมูลของเราได้

มาตรา ๑๔ ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ ดังต่อไปนี้  ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี  หรือ
ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท  หรือทั้งจําทั้งปรับ
(๑)  นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน  หรือ
ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ  โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
(๒)  นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ  โดยประการที่น่าจะเกิด
ความเสียหายต่อความม่ันคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(๓)  นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด  ๆ  อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(๔)  นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆที่มีลักษณะอันลามกและ
ข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(๕)  เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม  (๑)   (๒)  (๓)  หรือ  (๔)

     จากมาตราที่ ๑๔ จะพบเห็นได้ในข้อที่ (๔) พวกที่ชอบเผยแพร่ภาพหรือคลิปวีดีโอต่างๆในลักษณะทางลามก อนาจาร ซึ่งในปัจจุบันก็ยังพบเห็นได้อยู่ ยกตัวอย่างเช่น ภาพใน facebook ที่จะมีบางคนแต่งตัวล่อแหลม ไม่เหมาะสม และโพสต์ภาพตัวเองลงอาจจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตามก็ยังพบเห็นกันอยู่นะคะ หรืออย่างข่าวที่นักเรียนม.ต้นหลายคนถอดเสื้อผ้าออกเหลือเพียงยกทรงแล้วโพสต์ภาพนั้นลงใน Internet เป็นการกระทำที่มีความผิดนะคะ

สามารถอ่านข่าวเต็มๆได้จาก

มาตรา ๑๖ ผู้ใดนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น  และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น  ตัดต่อ เติมหรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่น  ถูกเกลียดชัง  หรือได้รับความอับอาย  ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี  หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจําทั้งปรับ

   จากมาตราที่ ๑๖ ก็พบมากโดยผู้เสียหายส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น นักร้อง ดารา อาจทำกันเล่นๆ เพื่อความบันเทิง แต่ความจริงแล้วผู้เสียหายสามารถเอาผิดได้นะคะ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้กระทำผิดอาจจะตัดต่อเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้มีเจตนาจะก่อความเสียหาย แต่ก็จะมีคนบางส่วนนำภาพนั้นออกไปโดยการ coppy บ้าง share บ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วจะเห็นได้ว่าสามารถก่อให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังได้ เช่นข่าวนี้เป็นต้น 

สื่อเกาะติด"แซนดี้"ถล่มสหรัฐ มือป่วนปล่อย"ภาพฉลามตัดต่อ"



หรือ

มือดีตัดต่อภาพ เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ พร้อมระบุเป็นเกย์ลงนิตยสาร




   สุดท้ายขอฝากไว้ว่า เราควรจะระมัดระวังในการใช้คอมพิวเตอร์ให้มากขึ้น ไม่ควรจะละเมิดสิทธิ์ของคนอื่นและควรปกป้องสิทธิ์ของตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ


แหล่งที่มา






วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

จุดเริ่มต้นของความสับสน

โลกที่ยังสับสน......
       
      หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมถึงได้ตั้งชื่อบล็อกว่า Praew-world/โลกที่ยังสับสน  555 เพราะว่าผู้เขียนเป็นคนที่ยังสับสนและงงๆกับชีวิตของตนเองอยู่ในตอนนี้ และครั้งนี้ก็เป็นการเขียนบล็อกครั้งแรกนะคะ
     ถ้าอยากรู้ว่าทำไมชีวิตถึงสับสน???  มาทำความรู้จักกับผู้เขียนก่อนละกันนะคะ


           ชื่อนางสาวมณีวรรณ  อู๋หนู  ชื่อเล่น แพรว ค่ะ เป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี เกิดวันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พศ.2534  เป็นลูกคนแรกและโตสุดของครอบครัว มีน้องสาว 3 คนค่ะ ตอนนี้ผู้เขียนเป็นนิสิตอยู่คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ(กศ.บ) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(มศว ประสานมิตร) เรียนอยู่ปี 3 แล้วค่ะ                                                               
           โดยนิสัยส่วนตัวแล้วเป็นผู้หญิงธรรมดาๆที่อาจจะมึนๆ อึนๆ มากกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ 555  และก็ไม่ค่อยกล้าแสดงออก แต่ก็ร่าเริง และขรึมๆในบางครั้ง คนส่วนมากที่ไม่ค่อยรู้จักจะมองว่าเป็นคนเรียบร้อย ไม่ค่อยพูด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ได้เป็นคนเรียบร้อย ขนาดนั้น แต่ก็ต้องดูว่าสถานการณ์ไหนควรหรือไม่ควรตามกาละเทศะอะค่ะ 

จุดเริ่มต้นของความสับสน
                   
                      เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ชั้นม.6 ช่วงที่กำลังจะAdmission เลือกเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆ หลายคนอาจจะบอกว่าช่วงนั้นใครๆก็เครียดใครๆก็สับสนใช่มั้ยคะ??  แต่จะบอกว่าตอนแรกผู้เขียนถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ตอนเด็กๆว่าให้เรียนหมอ หรือคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ มาโดยตลอดๆ เพราะพ่อแม่ก็ทำงานอยู่ในสายนี้ และผู้เขียนเองก็เรียนทางสายวิทย์-คณิตมาแบบเคร่งเครียดเลยก็ว่าได้ แต่ปรากฏว่าตอนAdmission ได้มาติดคณะที่กล่าวมาแล้วข้างต้น "เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ"  ชีวิตไม่เคยคิดที่จะเรียนในสาขานี้ แต่ว่าทำไมถึงเลือกมาเรียน? หลายคนคงถามแบบนี้ ผู้เขียนก็ยังงงๆอยู่ ความจริงก็เลือกคณะที่เป็นทันตแพทย์ และเภสัช แต่บังเอิญว่าความสามารถไม่เพียงพอจริงๆๆ คะแนนไม่ถึงค่ะ TT และก็มีความคิดผ่านมาแวบหนึ่งในสมองว่า ภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่ชอบที่สุดตอนทำข้อสอบในสมัยม.ปลาย จึงเลือกมาเรียนและติด แต่พอติดแล้วเรื่องราวต่อมาทำให้สับสนยิงขึ้นไปอีก??

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ
ป.ล.เรื่องราวดูสับสนไหมคะ? ต้องเข้าใจหน่อยชีวิตยังสับสนค่ะ!